แลนดี้โฮมฯ สร้างสีสันตลาดรับสร้างบ้าน ฉีกแนวการทำตลาดแข่งด้านราคา-แบบบ้าน ดึงนวัตกรรมก่อสร้างบ้านใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัย ย้ำจุดยืนผู้นำนวัตกรรมรับสร้างบ้าน พร้อมเตรียมนำ2นวัตกรรมสร้างบ้านใหม่ บ้านปลอดฝุ่น-บ้านปลอดความชื้น
ปัจจุบันผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมีการพัฒนาด้านการตลาดมากขึ้น โดยพยายามใส่หรือคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆในการสร้างบ้านให้แก่ลูกค้า โดยการหยิบข้อได้เปรียบดังกล่าวเข้ามาทำตลาด ช่วยสร้างสีสันด้านการแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานวัตกรรมที่มีการหยิบยกมาทำตลาดคือ บ้านปลอดปลวก และบ้านปลอดแมลงสาบ นวัตกรรมในการสร้างบ้านดังกล่าวนับว่าได้รับการตอบรับอย่างมาก และนับวันจะเพิ่มมากขึ้น
นายพิเชษฐ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำการประยุกต์ใช้และพัฒนาวัตกรรมการก่อสร้างบ้านให้แก่ลูกค้า เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างบ้านให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ บ้านประหยัดพลังงาน และต้นทุนก่อสร้างต่ำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "4 Innovation for Your Living" ได้แก่ บ้านปลอดแมลงสาบ ,บ้านติดลิฟต์ ,บ้านผู้สูงอายุ และบ้านชะลอความแก่ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับบ้านปลอดแมลงสาบ เป็นบ้านที่ออกแบบระบบสุขาภิบาลที่ดี ป้องกันแมลงเข้าสู่ตัวบ้านแบบที่ 2 คือ บ้านติดลิฟต์ เป็นนวัตกรรมการออกแบบบ้านเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย ด้วยการติดตั้งลิฟต์ภายในบ้าน เพื่อประโยชน์การใช้สอยและราคาไม่แพง ส่วนบ้านผู้สูงอายุ เป็นระบบการสร้างบ้านที่ออกแบบแปลนและใช้วัสดุก่อสร้างเพื่อให้ผู้สูงอายุไม่ต้องอยู่ภายในห้องนอนเฉพาะชั้นล่างสามารถอยู่อาศัย และ บ้านชะลอความแก่ใช้ในการออกแบบบ้าน ช่วยชะลอริ้วรอยบนใบหน้าและผิวหนัง ของผู้อยู่อาศัยอายุเครื่องเรือน และวัตถุตกแต่งบ้านต่างๆ โดยระบบ AC Design ที่คิดค้นเพื่อควบคุมแสงด้วยรังสี UV ที่ผ่านเข้ามาภายในบ้านในปริมาณพอเหมาะ
" ปัจจุบัน ผู้บริโภคที่ซื้อบ้าน หรือสร้างบ้านเอง ยังรับทราบข้อมูล และรู้ถึงประโยชน์ของบ้านไม่มากเท่าที่ควร เพราะจริงๆ แล้วบ้านไม่ใช่เพียงที่พักอาศัยไว้หลับนอนพักผ่อนหลังจากเลิกงาน หรือเป็นทรัพย์สินเท่านั้น แต่บ้านให้มากว่าคำว่าที่อยู่อาศัย บ้านเป็นที่คุ้มภัยจากภายนอก บ้านหากมีการก่อสร้างให้ถูกหลักวิศวกรรม และสุขลักษณะ บ้านจะเป็นที่ป้องกันเราจากการเกิดโรคติดต่อ หรือโรคภัยต่างๆ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง"
นายพิเชษฐ กล่าวว่า ในต่างประเทศมีการนำนวัตกรรมก่อสร้างที่ช่วยในการดูแลผู้อยู่อาศัย ทั้งในด้านความปลอดภัยทางทรัพย์สิน และปลอดโรคภัยต่างๆ อาทิ นวัตกรรมบ้านปลอดความชื้น บ้านปลอดฝุ่น ซึ่งเชื่อว่านวัตกรรมทั้ง2 นี้ในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยีดังกล่าวจะมีการนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านในประเทศไทย สำหรับนวัตกรรมบ้านปลอดความชื้นนั้น ในปี2550 นี้บริษัทจะเริ่มนำเข้ามาทำตลาด ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นช่วงไตรมาสใดของปีนี้
โดยนวัตกรรมบ้านปลอดความชื้นนี้ จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยไม่เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากเชื้อรา ทั้งนี้ บ้านที่มีการอยู่อาศัยในปัจจุบันมีความชื้นค่อนข้างมาก ทำให้เกิดเชื้อราตามผนังบ้าน ซึ่งผู้อยู่อาศัยสามารถสังเกตได้จากการเกิดการลอกของสีทาบ้านหรือ การบวมของผังและพื้นบ้าน เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมีปริมาณความชื้นหรือซับน้ำสูงทำให้เกิดความชื้นภายในบ้าน และเกิดเชื้อราในที่สุด ทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องคลุกคลีอยู่กับ เชื่อโรคที่เกิดจากเชื้อราและกลายเป็นเป็นโรคภูมิแพ้ในที่สุด
"สำหรับนวัตกรรมบ้านปลอดความชื้นนี้ บริษัทจะเน้นการใช้วัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดความชื้นหรือวัสดุที่เก็บความชื้นต่ำในการก่อสร้างบ้านให้แก่ลูกค้า อาทิ การใช้คอนกรีตมวลเบาในการก่อสร้างผนัง โดยคอนกรีตมวลเบาดังกล่าวจะเป็นคอนกรีตที่มีการอัดอากาศเข้าไปในตัวคอนกรีตมวลเบาที่ใช้ก่อตัวผนังบ้าน เพื่อลดและป้องการเกิดความชื้นภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีระบบและเทคนิกการก่อสร้างที่มีการพัฒนาขึ้นมา เพื่อการก่อสร้างด้วยนวัตกรรมบ้านปลอดความชื้นโดยเฉพาะ"
ส่วนนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีในการอัดอากาศเข้ามาช่วยในการก่อสร้างบ้านนั้น มีให้เห็นกันมากในต่างประเทศ แต่สำหรับในประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดนำเข้ามาใช้ อย่างไรก็ตามคาดว่านวัตกรรมดังกล่าวจะมีผู้นำเข้ามาใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นนั้น จะเน้นในเรื่องการระบายอาการภายในบ้าน ซึ่งจะมีรูปแบบที่แตกต่างจากระบบระบายอากาศที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยขณะนี้
"โดยปกติ ระบบระบายอากาศในบ้านเราจะใช้ระบบดูอากาศออกจากตัวบ้าน ผ่านพัดลมระบายอากาศ เมื่อเราดูอากาศจากตัวบ้านออกไป เป็นปกติที่ลมจากภายนอกจะเข้ามาแทนที่ลมที่ถูกดูดออกไป แต่ลมที่ผ่านเข้ามาแทนลมที่ดูดออกไปนั้น จะผ่านเข้ามาทางลอยต่อต่างๆ ที่มีช่องว่าง ทำให้มีฝุ่นละอองที่มีการปนเปื้อนของมลพิษต่างๆผ่านเข้ามาด้วย แต่นวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นจะมารูปแบบการระบายอากาศแบบอัดอากาศผ่านตัวกรองเข้าบ้าน และระบายอากาศออกผ่านตัวกรองอากาศอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่ได้รับมลพิษจากภายนอก ทำให้สามรถป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากฝุ่นละอองได้"
ทั้งนี้ นวัตกรรมทั้ง2 ดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะมีการนำเข้ามาใช้ในตลาดรับสร้างบ้านในไทยระยะ1-2 ปีข้างหน้า ในฐานะที่เป็นผู้นำนวัตกรรมการสร้างบ้าน ซึ่งต้องยอมรับว่าการนำนวัตกรรมการสร้างบ้านใหม่เข้ามาทำตลาดจะมีต้นทุนบ้าง แต่เพื่อสร้างการยอมรับให้แก่ลูกค้า ควบคุมไปกับการสร้างมาตรฐานการอยู่อาศัยให้ผู้บริโภคในตลาดที่ดีขึ้น บริษัทจำเป็นต้องพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาเพิ่มคุณภาพในการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
จาก: http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=55320
รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการระบายอากาศภายในบ้าน เพื่อทำให้การใช้ชีวิตภายในบ้านที่ดีขึ้น ด้วยพลังงานสะอาด
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558
เกร็ดน่ารู้-ลูกหมุนบนหลังคาอาคาร ช่วยระบายความร้อน หรือสะสมความร้อน?
วิธีที่จะช่วยป้องกันหรือลดความร้อนทางหลังคานั้นทำได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือแผ่นสะท้อนไว้ใต้หลังคา บนฝ้าเพดานหรือแม้กระทั่งวิธีมุงหลังคาด้วยจากหรือหญ้าคาตามภุมิปัญญาของคนโบราณ วิธีเหล่านี้เรียกว่า “การลดความร้อน”
แต่ถ้าคุณใช้ช่องระบายอากาศ ปล่องระบายอากาศหรือติดตั้งลูกหมุนระบายอากาศ (ซึ่งจะกล่าวกันต่อไป) วิธีเหล่านี้เรียกว่า “การไล่ความร้อน” เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมใต้หลังคาแล้วแผ่ลงมาสร้างความร้อนให้กับบ้าน เคล็ดลับสำคัญของวิธีนี้คือ เมื่อมีช่องให้อากาศไหลออกก็ต้องมีช่องให้อากาศไหลเข้าด้วย
เพราะถ้าคุณไม่ทำตามเคล็ดลับนี้ต่อให้คุณติดตั้งพัดลมดูดอากาศเพิ่มอีก 2 ตัว มันจะกลับกลายเป็นดูดเงินของคุณแทนเพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็เหมือนการเปิดหน้าต่างนั่นแหละ ถ้าเปิดด้านเดียวต่อให้ลมพัดแรงแค่ไหน ห้องของคุณก็ไม่เย็นขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเปิดอีกข้างด้วย ลมก็พัดเข้ามาให้คุณห้องของคุณเย็นขึ้น
แต่...การเจาะช่องระบายอากาศทั้ง 2 ช่อง ต้องพิจารณาด้วยว่าจะเลือกขนาดช่องเปิดอย่างไร ซึ่งคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของลมร้อนกันก่อน
นั่นก็คืออากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูง เพื่อให้อากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่ อากาศที่ร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงนั่นก็คือใต้สันจั่วหลังคา แต่ที่นั่นเป็นหลังคาที่ทึบตัน อากาศจึงระบายออกไม่ได้
หากเราเจาะช่องเพื่อไล่ลมร้อนบนสุดของหลังคาและให้มีช่องเปิดรับอากาศอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า จะเห็นได้ว่ามีทั้งการทำแบบปล่องไฟ ปล่องควัน ลูกหมุนหรือหลังคา 2 ชั้นก็ได้ ส่วนช่องเปิดให้อากาศไหลเข้า ต้องกว้างพอ อย่าให้มีอะไรมาขวาง
นี่แหละครับ เคล็ดลับง่าย ๆ สำหรับการติดตั้งลูกหมุนเพื่อคลายร้อน ทั้งนี้ ลูกหมุนเป็นประดิษฐกรรมที่ฝรั่งสร้างขึ้นสำหรับใช้ในเมืองหนาวที่การเคลื่อนตัวของอากาศมีน้อย ลมจึงค่อย ๆ พัดลูกหมุนให้หมุนเอื่อย ๆ เพื่อให้มีอากาศหมุนเวียนในอาคาร ลดความอับชื้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อระบายความร้อน
สรุปว่า... การที่คุณมีความคิดที่จะติดตั้งลูกหมุนนี้ไว้บนหลังคาบ้านของคุณ พึงระลึกไว้เสมอว่า "เมืองไทยมีอากาศร้อนซึ่งจะลอยตัวสูงออกจากอาคารอยู่แล้ว ควรทำช่องเปิดในอาคารที่มีขนาดเหมาะสมเพื่อระบายอากาศได้เท่านั้น" บ้านของคุณก็จะเย็นสบายครับ
ที่มา : http://srangserm.igetweb.com/index.php
แต่ถ้าคุณใช้ช่องระบายอากาศ ปล่องระบายอากาศหรือติดตั้งลูกหมุนระบายอากาศ (ซึ่งจะกล่าวกันต่อไป) วิธีเหล่านี้เรียกว่า “การไล่ความร้อน” เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมใต้หลังคาแล้วแผ่ลงมาสร้างความร้อนให้กับบ้าน เคล็ดลับสำคัญของวิธีนี้คือ เมื่อมีช่องให้อากาศไหลออกก็ต้องมีช่องให้อากาศไหลเข้าด้วย
เพราะถ้าคุณไม่ทำตามเคล็ดลับนี้ต่อให้คุณติดตั้งพัดลมดูดอากาศเพิ่มอีก 2 ตัว มันจะกลับกลายเป็นดูดเงินของคุณแทนเพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็เหมือนการเปิดหน้าต่างนั่นแหละ ถ้าเปิดด้านเดียวต่อให้ลมพัดแรงแค่ไหน ห้องของคุณก็ไม่เย็นขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเปิดอีกข้างด้วย ลมก็พัดเข้ามาให้คุณห้องของคุณเย็นขึ้น
แต่...การเจาะช่องระบายอากาศทั้ง 2 ช่อง ต้องพิจารณาด้วยว่าจะเลือกขนาดช่องเปิดอย่างไร ซึ่งคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของลมร้อนกันก่อน
นั่นก็คืออากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูง เพื่อให้อากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่ อากาศที่ร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงนั่นก็คือใต้สันจั่วหลังคา แต่ที่นั่นเป็นหลังคาที่ทึบตัน อากาศจึงระบายออกไม่ได้
หากเราเจาะช่องเพื่อไล่ลมร้อนบนสุดของหลังคาและให้มีช่องเปิดรับอากาศอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า จะเห็นได้ว่ามีทั้งการทำแบบปล่องไฟ ปล่องควัน ลูกหมุนหรือหลังคา 2 ชั้นก็ได้ ส่วนช่องเปิดให้อากาศไหลเข้า ต้องกว้างพอ อย่าให้มีอะไรมาขวาง
นี่แหละครับ เคล็ดลับง่าย ๆ สำหรับการติดตั้งลูกหมุนเพื่อคลายร้อน ทั้งนี้ ลูกหมุนเป็นประดิษฐกรรมที่ฝรั่งสร้างขึ้นสำหรับใช้ในเมืองหนาวที่การเคลื่อนตัวของอากาศมีน้อย ลมจึงค่อย ๆ พัดลูกหมุนให้หมุนเอื่อย ๆ เพื่อให้มีอากาศหมุนเวียนในอาคาร ลดความอับชื้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อระบายความร้อน
สรุปว่า... การที่คุณมีความคิดที่จะติดตั้งลูกหมุนนี้ไว้บนหลังคาบ้านของคุณ พึงระลึกไว้เสมอว่า "เมืองไทยมีอากาศร้อนซึ่งจะลอยตัวสูงออกจากอาคารอยู่แล้ว ควรทำช่องเปิดในอาคารที่มีขนาดเหมาะสมเพื่อระบายอากาศได้เท่านั้น" บ้านของคุณก็จะเย็นสบายครับ
ที่มา : http://srangserm.igetweb.com/index.php
วิธีลดบ้านร้อน
หากจะมีบ้านสักหลังที่ยืนหยัดต่อสู้กับแดด ลม ฝนมาเป็นระยะเวลากว่า 19 ปี เชื่อว่าบ้านหลังนั้นคงต้องได้รับการออกแบบจากสถาปนิกอย่างพิถีพิถัน ลงมือก่อสร้างด้วยวิศวกรที่เอาใจใส่ มีการดูแลรักษาโดยเจ้าของบ้านด้วยหัวใจ เราจึงได้สรรหาสารพัดวิธีที่จะช่วยป้องกันบ้านจากความร้อนมาฝากกัน จะเป็นอย่างไรนั้นขอเชิญติดตามกันโดยพลัน
วางตำแหน่งบ้านและห้องต้องดูทิศ
1.บ้านหรืออาคารควรออกแบบให้วางตัวขวางทางทิศเหนือใต้ เพราะหลังคาและผนังจะโดนแดดน้อยและสามารถรับลมได้มากกว่าวางตัวอาคารหันไปทางทิศอื่น
2.ออกแบบแปลนบ้านแบบเปิดโล่ง (Open Plan) โดยการลดผนังที่ใช้กั้นห้องต่างๆ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องรับประทานอาหารเพื่อช่วยให้บ้านมีการระบายอากาศที่ดี ลมที่ผ่านเข้ามาภายในบ้านจะไหลเวียนดีขึ้น บ้านก็จะร้อนน้อยลง
3.ห้องที่มีการใช้งานน้อย เช่น ห้องเก็บของหรือโรงรถควรออกแบบให้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเนื่องจากเป็นทิศที่ร้อนมากที่สุดของวัน เพื่อใช้เป็นแนวกันความร้อน (Buffer Zone)ให้กับบ้าน
4. ที่จอดรถ ลานซักล้างหรือพื้นผิวที่เป็นคอนกรีตไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพัดเอาความร้อนที่สะสมอยู่ในพื้นคอนกรีตเข้าสู่บ้าน
ป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าบ้าน
5. หลังคา เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และได้รับแสงตลอดทั้งวัน ไม่ควรมีสีเข้มเพราะสะสมความร้อน และควรมีความลาดชันประมาณ 50-60 องศาเพื่อช่วยบังแดดให้กับหลังคาอีกด้าน
6. ผนังด้านใดของบ้านที่ได้รับแสงมากให้เลือกใช้วัสดุที่ไม่สะสมความร้อนอย่าง อิฐมวลเบาหรือก่อผนังสองชั้นร่วมกับการใช้ฉนวนกันความร้อนที่ผนังก็จะช่วยป้องกันความร้อนได้มากขึ้น
7. ผนังชนิดอื่นๆ เช่นผนังกระจก หรือหน้าต่างที่เป็นกระจก ควรเลือกใช้กระจกชนิดฉนวนป้องกันความร้อน เช่นกระจกสีเขียวตัดแสงหรือกระจกสองชั้นซึ่งช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้านได้
8. บ้านที่ออกแบบให้มีช่องแสงเพื่อประหยัดไฟ อย่าลืมว่าสิ่งที่มาพร้อมแสงแดดคือความร้อน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องมีช่องแสง ควรเจาะช่องแสงเพื่อรับแสงจากทางด้านทิศเหนือดีที่สุด จะได้แสงที่ไม่ร้อน
9.ออกแบบผนังด้านที่ได้รับความร้อนมากให้มีแผงกันแดดหรือระแนงไม้เพื่อให้กันความร้อนจากแสงกระทบกับผนังบ้านโดยตรง
ระบายอากาศร้อนจากภายในออกสู่ภายนอก
10.อากาศร้อนที่ผ่านเข้ามาในบ้านส่วนหนึ่งจะสะสมอยู่ใต้หลังคาและระบายออกที่ชายคารอบบ้าน การเจาะช่องระบายอากาศที่ชายคาควรอยู่ตรงข้ามกันในทิศเหนือและใต้ เพราะมีลมพัดผ่านประจำ ไม่ควรเจาะทุกด้าน เพราะความร้อนจะระบายออกในช่องที่ใกล้สุด จึงไม่เกิดการไหลเวียนของอากาศใต้หลังคา
11.เช่นเดียวกับการระบายความร้อนบนหลังคา ความร้อนที่เข้ามาในบ้านในระดับหน้าต่างก็ต้องมีการไหลเวียน ภายในห้องควรมีหน้าต่างอย่างน้อยสองด้านเพื่อให้ลมที่ผ่านเข้ามามีทางออก อย่าวางเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของบัง ทางลม อากาศในห้องจะมีการไหลเวียนเพิ่มขึ้นและช่วยลดความร้อนลงได้
12.เพื่อควบคุมการระบายอากาศให้ดียิ่งขึ้น จะติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ฝ้าเพดานเพื่อช่วยระบายอากาศใต้ฝ้าก็ได้ ตำแหน่งการติดตั้งพัดลมควรอยู่ตรงกันข้ามกับจุดที่มีลมพัดเข้าบ้าน
เตรียมพื้นที่ในบ้านให้เหมาะสม
13.เลือกใช้เครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดของห้อง ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
14.การเลือกเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็มีผลต่อการสะสมความร้อน ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เบา โปร่ง มีสีอ่อน เฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนักนอกจากจะเก็บความร้อนแล้วยังสะสมฝุ่นละอองอีกด้วย
15.ใช้เฟอร์นิเจอร์บิลท์อินป้องกันความร้อน เช่น ตู้เก็บหนังสือ ชั้นวางโทรทัศน์ ตู้โชว์ โดยออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของผนังเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง
16.เลือกใช้ผนังเบาทำผนังภายในห้องปรับอากาศจะช่วยลดความร้อนที่สะสมได้ดีกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูน แต่กันเสียงได้ไม่ดีเท่าผนังก่ออิฐฉาบปูน
ปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านเพื่อป้องกันความร้อน
17.ปลูกต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสูง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิจากลมร้อนภายนอกที่พัดเข้ามาในบ้านและยังได้ร่มเงาในการป้องกันแดดให้กับบ้านได้อีกด้วย
18.ปลูกพืชคลุมดินแทนการเทคอนกรีตในบริเวณบ้าน เช่นที่จอดรถ อาจจะเปลี่ยนมาใช้บล็อกตัวหนอนที่สามารถปลูกหญ้าสลับได้
19.เปลี่ยนจากรั้วทึบเป็นรั้วโปร่ง เพื่อช่วยให้ลมสามารถพัดเข้าบ้านได้สะดวก แถมยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกด้วย บางส่วนของรั้วที่เป็นคอนกรีตให้ปลูกไม้เลื้อยเพื่อช่วยลดความร้อนที่รั้วบ้าน
วางตำแหน่งบ้านและห้องต้องดูทิศ
1.บ้านหรืออาคารควรออกแบบให้วางตัวขวางทางทิศเหนือใต้ เพราะหลังคาและผนังจะโดนแดดน้อยและสามารถรับลมได้มากกว่าวางตัวอาคารหันไปทางทิศอื่น
2.ออกแบบแปลนบ้านแบบเปิดโล่ง (Open Plan) โดยการลดผนังที่ใช้กั้นห้องต่างๆ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องรับประทานอาหารเพื่อช่วยให้บ้านมีการระบายอากาศที่ดี ลมที่ผ่านเข้ามาภายในบ้านจะไหลเวียนดีขึ้น บ้านก็จะร้อนน้อยลง
3.ห้องที่มีการใช้งานน้อย เช่น ห้องเก็บของหรือโรงรถควรออกแบบให้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเนื่องจากเป็นทิศที่ร้อนมากที่สุดของวัน เพื่อใช้เป็นแนวกันความร้อน (Buffer Zone)ให้กับบ้าน
4. ที่จอดรถ ลานซักล้างหรือพื้นผิวที่เป็นคอนกรีตไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพัดเอาความร้อนที่สะสมอยู่ในพื้นคอนกรีตเข้าสู่บ้าน
ป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าบ้าน
5. หลังคา เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และได้รับแสงตลอดทั้งวัน ไม่ควรมีสีเข้มเพราะสะสมความร้อน และควรมีความลาดชันประมาณ 50-60 องศาเพื่อช่วยบังแดดให้กับหลังคาอีกด้าน
6. ผนังด้านใดของบ้านที่ได้รับแสงมากให้เลือกใช้วัสดุที่ไม่สะสมความร้อนอย่าง อิฐมวลเบาหรือก่อผนังสองชั้นร่วมกับการใช้ฉนวนกันความร้อนที่ผนังก็จะช่วยป้องกันความร้อนได้มากขึ้น
7. ผนังชนิดอื่นๆ เช่นผนังกระจก หรือหน้าต่างที่เป็นกระจก ควรเลือกใช้กระจกชนิดฉนวนป้องกันความร้อน เช่นกระจกสีเขียวตัดแสงหรือกระจกสองชั้นซึ่งช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้านได้
8. บ้านที่ออกแบบให้มีช่องแสงเพื่อประหยัดไฟ อย่าลืมว่าสิ่งที่มาพร้อมแสงแดดคือความร้อน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องมีช่องแสง ควรเจาะช่องแสงเพื่อรับแสงจากทางด้านทิศเหนือดีที่สุด จะได้แสงที่ไม่ร้อน
9.ออกแบบผนังด้านที่ได้รับความร้อนมากให้มีแผงกันแดดหรือระแนงไม้เพื่อให้กันความร้อนจากแสงกระทบกับผนังบ้านโดยตรง
ระบายอากาศร้อนจากภายในออกสู่ภายนอก
10.อากาศร้อนที่ผ่านเข้ามาในบ้านส่วนหนึ่งจะสะสมอยู่ใต้หลังคาและระบายออกที่ชายคารอบบ้าน การเจาะช่องระบายอากาศที่ชายคาควรอยู่ตรงข้ามกันในทิศเหนือและใต้ เพราะมีลมพัดผ่านประจำ ไม่ควรเจาะทุกด้าน เพราะความร้อนจะระบายออกในช่องที่ใกล้สุด จึงไม่เกิดการไหลเวียนของอากาศใต้หลังคา
11.เช่นเดียวกับการระบายความร้อนบนหลังคา ความร้อนที่เข้ามาในบ้านในระดับหน้าต่างก็ต้องมีการไหลเวียน ภายในห้องควรมีหน้าต่างอย่างน้อยสองด้านเพื่อให้ลมที่ผ่านเข้ามามีทางออก อย่าวางเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของบัง ทางลม อากาศในห้องจะมีการไหลเวียนเพิ่มขึ้นและช่วยลดความร้อนลงได้
12.เพื่อควบคุมการระบายอากาศให้ดียิ่งขึ้น จะติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ฝ้าเพดานเพื่อช่วยระบายอากาศใต้ฝ้าก็ได้ ตำแหน่งการติดตั้งพัดลมควรอยู่ตรงกันข้ามกับจุดที่มีลมพัดเข้าบ้าน
เตรียมพื้นที่ในบ้านให้เหมาะสม
13.เลือกใช้เครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดของห้อง ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
14.การเลือกเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็มีผลต่อการสะสมความร้อน ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เบา โปร่ง มีสีอ่อน เฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนักนอกจากจะเก็บความร้อนแล้วยังสะสมฝุ่นละอองอีกด้วย
15.ใช้เฟอร์นิเจอร์บิลท์อินป้องกันความร้อน เช่น ตู้เก็บหนังสือ ชั้นวางโทรทัศน์ ตู้โชว์ โดยออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของผนังเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง
16.เลือกใช้ผนังเบาทำผนังภายในห้องปรับอากาศจะช่วยลดความร้อนที่สะสมได้ดีกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูน แต่กันเสียงได้ไม่ดีเท่าผนังก่ออิฐฉาบปูน
ปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านเพื่อป้องกันความร้อน
17.ปลูกต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสูง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิจากลมร้อนภายนอกที่พัดเข้ามาในบ้านและยังได้ร่มเงาในการป้องกันแดดให้กับบ้านได้อีกด้วย
18.ปลูกพืชคลุมดินแทนการเทคอนกรีตในบริเวณบ้าน เช่นที่จอดรถ อาจจะเปลี่ยนมาใช้บล็อกตัวหนอนที่สามารถปลูกหญ้าสลับได้
19.เปลี่ยนจากรั้วทึบเป็นรั้วโปร่ง เพื่อช่วยให้ลมสามารถพัดเข้าบ้านได้สะดวก แถมยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกด้วย บางส่วนของรั้วที่เป็นคอนกรีตให้ปลูกไม้เลื้อยเพื่อช่วยลดความร้อนที่รั้วบ้าน
ระบบระบายอากาศ ( Ventilation )
การถ่ายเทอากาศร้อนหรืออากาศเสียภายในห้องออกภายนอกห้อง และให้มีอากาศที่
บริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่ อากาศจะต้องมีการถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอกห้องและ
ภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature ซึ่งการถ่ายเทนี้จะคิดกันเป็นครั้ง / ชั่วโมง
ซึ่งจะเรียกกันเป็น Air Change สมมติว่า 10 Air change ก็คืออากาศภายในห้องทั้งหมด จะ
ถ่ายเทออกภายนอกจำนวน 10 ครั้ง ภายใน 1 ชั่วโมง หรือใช้เวลา 6 นาที ถ่ายเทได้
หมดห้อง การถ่ายเทอากาศจะใช้พัดลมBlower หรือพัดลมAxial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก
ระบบระบายอากาศให้ห้องเป็น Negative Room
ส่วนใหญ่นั้นจะมีปัญหาเรื่องกลิ่น หรือห้องที่มีความร้อนสะสมอยู่มาก
*ถ้าห้องที่มีกลิ่นจะทำการดูดอากาศภายในห้องออก ด้านทางลมเข้าอาจจะมี Filter กรองฝุ่น
ถ้าเป็นอากาศเสียมีกลิ่นรุนแรง ก็จะนำกลิ่นออกไปบำบัด
*สำหรับห้องที่มีความร้อนสะสมสูง จะมีพัดลมดูดความร้อนออกหรือทั้งเป่าทั้งดูด เพื่อให้การ
ถ่ายเทได้รวดเร็ว
*ห้องผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อบางชนิด ต้องการให้ห้องเป็น Negative ป้องกันการกระจาย
เชื้อโรค จึงมีการดูดอากาศภายในห้องออกไปทำการกรอง และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV
ก่อนที่จะปล่อยสู่บรรยากาศภายนอก อากาศที่จะเข้ามาแทนที่ภายในห้อง ก็เพียงแค่ใส่ Air
Filter กรองฝุ่น
*ห้องครัว โรงอาหาร ระดับโรงงาน ใช้พัดลมดูดออกจาก Hood เหนือเตา ทางด้านลมเข้า
อาจเป็นมุ้งลวดกันแมลงหรือใส่ Air Filter เพื่อให้อากาศที่เข้ามาแทนที่มีความสะอาดด้วย
ระบบระบายอากาศ ที่มีการคำนวณ Air Changes
POSITIVE ROOM
ระบบระบายอากาศ ให้ห้องเป็น Positive นั้น คือ การส่งอากาศเข้าไปภายในห้อง ให้ห้องมี
Pressure ภายใน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้า เหมาะสมที่จะใช้กับห้องประกอบอาหารต่าง ๆ
หรือห้องผลิตยารักษาโรค ทั้งนี้จะเน้นเรื่องฝุ่นและเชื้อแบคเทเรีย ที่อาจปนไปกับฝุ่น ซึ่งใน
ระบบนี้เราจะต้องมีการกรองฝุ่นก่อนนำอากาศที่ดีไปใช้งาน ขั้นตอนของ Filter ที่ใช้กรองฝุ่นจะ
ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของห้องนั้น ๆ ห้องเป็น Positiveนั้น หมายถึงภายใน
ห้องจะต้องมีแรงดันของอากาศภายในห้องอยู่ตลอดเวลา อากาศที่ระบายออกจะออกตามช่องที่
กำหนดให้หรือมีพัดลมช่วยระบายออก หรือ มี Auto Damper เป็นตัวควบคุมแรงดัน
Clean room
หรือห้องสะอาด ส่วนใหญ่จะใช้กับห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ซึ่งอากาศจะมีการหมุนเวียน
กลับมาใช้ใหม่ เพื่อไม่ให้ความเย็นของอากาศสูญเสียไปมาก อาจมีการดูดอากาศจากภายนอก
เข้าไปช่วยเสริมบางส่วน ห้อง Clean room จะมีการกรองฝุ่นและกรองกลิ่น หลายชั้นจึงจะ
ได้ห้อง Clean room ที่ดี คุณสมบัติทั่วไป Clean room ซึ่งจะเหมาะสมกับห้องประกอบ
ยารักษาโรค ,โรงพยาบาล
ระบบกรองฝุ่น DUST COLLECTOR
DUST COLLECTOR
ระบบกรองฝุ่นหรือกำจัดฝุ่นอาจจะเป็นฝุ่นที่แห้งหรือฝุ่นที่มีความร้อน เช่น ฝุ่นที่แห้งก็มีโรง
เลื่อยจักรเลื่อยไม้ โรงงานเฟอร์นิเจอร์ โรงงานขัดผิวโลหะต่างๆ ฝุ่นที่มีความร้อนอาจจะเกิด
จากฝุ่นที่เป็นเตาหลอมโลหะ Boiler และอื่น ๆ
DUST COLLECTOR แยกเป็นแบบแห้งและเปียก ดังนี้
*แบบแห้ง อาจใช้เป็นถุงผ้า Bag Filter แบบ Cartridge และอื่น ๆ
*แบบเปียก ส่วนใหญ่จะใช้แบบ Spray น้ำเป็นตัวจับเขม่า ซึ่งอาจใส่ Media
เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจับฝุ่น แบบชนิดเปียกที่มี Media เราเรียกกันว่า Wet Scrubber
*ฝุ่นละอองที่เกิดจากการพ่นสี ก็ใช้ละอองน้ำเป็นตัวจับละอองสีเช่นกัน หรือจะใช้ Filter แบบ
ใยสังเคราะห์ก็จับฝุ่นสีได้ แต่เป็นการสิ้นเปลืองสูง
DUST COLLECTOR แบบแห้ง
*เช่นฝุ่นที่เกิดจากไม้โรงเลื่อย, โรงงานเฟอร์นิเจอร์,โรงงานขัดผิวโลหะต่าง ๆ ฝุ่นละอองที่เกิด
จากงานพลาสติก งานเหล่านี้จะใช้ Bag Filter เป็นตัวกรองฝุ่น ตัวเคาะฝุ่นที่ถุงให้ร่วงลง
ด้านล่าง มี 3 แบบ คือแบบ
1. Jet Pulse
2. Vibrator
3. Manual
DUST COLLECTOR แบบเปียก
*เช่นเตาหลอมโลหะห้องพ่นสี หรือ Boiler จะใช้แบบ Wet scrubber เป็นตัวจับฝุ่น
ระบบระบายอากาศแบบท่อลม
การใช้ท่อลมติดตั้งในระบบระบายอากาศ
ทางห้าง ฯ รับผลิตและติดตั้งระบบระบายอากาศ ทีใช้แบบ ท่อกลมธรรมดา ท่อกลม
Spilal และท่อเหลี่ยม, รวมทั้งท่อโค้ง, ท่อแยก, กลมเหลี่ยม, Damper และอื่น ๆ ทำด้วยสังกะสี
หรือ SUS ผิวเรียบ ซึ่งจะเน้นถึงความสะอาดและการไหลลื่นของลมเป็นหลักใหญ่
พัดลมทรงกระบอก (Axial Fan)
พัดลม Axial Fan 100 - 700 CMM หรือพัดลมใบพัดที่เราเห็นกันอยู่เป็นพัดลมที่ให้
Volume สูง แต่ Static pressure ต่ำ เสียงค่อนข้างดัง แต่ทางห้าง ฯ ได้ผลิต พัดลมให้มี
รอบต่ำใบพัดใหญ่ขึ้น เพื่อให้มี Volume เท่ากับพัดลมรอบสูง ทั้งนี้เพื่อต้องการลดเสียงดัง
และพัดลมยังออกแบบเป็นรูปทรงกระบอก ทำให้มีแรงส่งและแรงดูดดีขึ้น พัดลมชนิดนี้เหมาะ
สำหรับการระบายความร้อนภายในโรงงาน ที่ใช้ต้นทุนไม่สูงนัก
พัดลม Axial Fan ที่ทางห้างใช้ในการระบายอากาศมากที่สุด เป็นพัดลมขนาด 350 CMM
SP.= 15 mm.wg.ใบพัด 36" Motor 2 HP. 8 Pole (720 RPM) ความดัง 78 Db. ที่
1.50 เมตร มีแบบชนิด
1. ด้านหน้าปรับทิศทางลมได้ 4 ทิศทาง และ
2. ชนิดที่เป็นเกล็ดอลูมินัม เปิด-ปิด กันน้ำฝนได้เป็นพัดลมที่ให้Volume สูง
พัดลม Axial Fan ขนาดใบพัด 36 " เช่นเดียวกับแบบที่กล่าว แต่แบบนี้จะใส่ Air Filter
ขนาด 24" x24"x2" จำนวน 10 ชิ้น เพื่อใช้กับห้องที่ต้องการความสะอาดและกรองฝุ่นละออง
ที่จะเข้าไปภายในห้อง
การออกแบบและคำนวณ
- ออกแบบ คำนวณ และติดตั้งระบบระบายอากาศในโรงงาน อุตสาหกรรมโรงงานประกอบ
อาหาร โรงงานเครื่องดื่ม และโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง ทำให้ภายในห้องมีการถ่ายเท
อากาศและปรับแรงดันอากาศเป็นให้เป็นPOSITIVE คำนวณ AIR CHANGE ของแต่ละ
ห้องให้ได้ตามต้องการ
- ออกแบบและคำนวณการระบายอากาศภายในห้อง LAB ให้มีการระบายอากาศอย่างพอ
เพียง และอากาศเสียที่ดูดออกไปจะมีการบำบัดด้วยระบบ WET SCRUBBER หรือ
ACTIVATED CARBON
- ระบบ CLEAN ROOM ให้อากาศหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านการกรองกลิ่น , กรอง
ฝุ่นและกรองเชื้อ BACTERIA
- DUST CORRECTOR ดูดฝุ่นและกรองฝุ่นเป็นระบบ
- ระบบมลภาวะ, กำจัดฝุ่น,บำบัดกลิ่น (Order), ไอเสีย
จาก: http://www.freshenergysaving.com/article/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8-ventilation
บริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่ อากาศจะต้องมีการถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอกห้องและ
ภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature ซึ่งการถ่ายเทนี้จะคิดกันเป็นครั้ง / ชั่วโมง
ซึ่งจะเรียกกันเป็น Air Change สมมติว่า 10 Air change ก็คืออากาศภายในห้องทั้งหมด จะ
ถ่ายเทออกภายนอกจำนวน 10 ครั้ง ภายใน 1 ชั่วโมง หรือใช้เวลา 6 นาที ถ่ายเทได้
หมดห้อง การถ่ายเทอากาศจะใช้พัดลมBlower หรือพัดลมAxial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก

ระบบระบายอากาศให้ห้องเป็น Negative Room
ส่วนใหญ่นั้นจะมีปัญหาเรื่องกลิ่น หรือห้องที่มีความร้อนสะสมอยู่มาก
*ถ้าห้องที่มีกลิ่นจะทำการดูดอากาศภายในห้องออก ด้านทางลมเข้าอาจจะมี Filter กรองฝุ่น
ถ้าเป็นอากาศเสียมีกลิ่นรุนแรง ก็จะนำกลิ่นออกไปบำบัด
*สำหรับห้องที่มีความร้อนสะสมสูง จะมีพัดลมดูดความร้อนออกหรือทั้งเป่าทั้งดูด เพื่อให้การ
ถ่ายเทได้รวดเร็ว
*ห้องผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อบางชนิด ต้องการให้ห้องเป็น Negative ป้องกันการกระจาย
เชื้อโรค จึงมีการดูดอากาศภายในห้องออกไปทำการกรอง และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV
ก่อนที่จะปล่อยสู่บรรยากาศภายนอก อากาศที่จะเข้ามาแทนที่ภายในห้อง ก็เพียงแค่ใส่ Air
Filter กรองฝุ่น
*ห้องครัว โรงอาหาร ระดับโรงงาน ใช้พัดลมดูดออกจาก Hood เหนือเตา ทางด้านลมเข้า
อาจเป็นมุ้งลวดกันแมลงหรือใส่ Air Filter เพื่อให้อากาศที่เข้ามาแทนที่มีความสะอาดด้วย
ระบบระบายอากาศ ที่มีการคำนวณ Air Changes
POSITIVE ROOM
ระบบระบายอากาศ ให้ห้องเป็น Positive นั้น คือ การส่งอากาศเข้าไปภายในห้อง ให้ห้องมี
Pressure ภายใน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้า เหมาะสมที่จะใช้กับห้องประกอบอาหารต่าง ๆ
หรือห้องผลิตยารักษาโรค ทั้งนี้จะเน้นเรื่องฝุ่นและเชื้อแบคเทเรีย ที่อาจปนไปกับฝุ่น ซึ่งใน
ระบบนี้เราจะต้องมีการกรองฝุ่นก่อนนำอากาศที่ดีไปใช้งาน ขั้นตอนของ Filter ที่ใช้กรองฝุ่นจะ
ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของห้องนั้น ๆ ห้องเป็น Positiveนั้น หมายถึงภายใน
ห้องจะต้องมีแรงดันของอากาศภายในห้องอยู่ตลอดเวลา อากาศที่ระบายออกจะออกตามช่องที่
กำหนดให้หรือมีพัดลมช่วยระบายออก หรือ มี Auto Damper เป็นตัวควบคุมแรงดัน
Clean room
หรือห้องสะอาด ส่วนใหญ่จะใช้กับห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ซึ่งอากาศจะมีการหมุนเวียน
กลับมาใช้ใหม่ เพื่อไม่ให้ความเย็นของอากาศสูญเสียไปมาก อาจมีการดูดอากาศจากภายนอก
เข้าไปช่วยเสริมบางส่วน ห้อง Clean room จะมีการกรองฝุ่นและกรองกลิ่น หลายชั้นจึงจะ
ได้ห้อง Clean room ที่ดี คุณสมบัติทั่วไป Clean room ซึ่งจะเหมาะสมกับห้องประกอบ
ยารักษาโรค ,โรงพยาบาล
ระบบกรองฝุ่น DUST COLLECTOR
DUST COLLECTOR
ระบบกรองฝุ่นหรือกำจัดฝุ่นอาจจะเป็นฝุ่นที่แห้งหรือฝุ่นที่มีความร้อน เช่น ฝุ่นที่แห้งก็มีโรง
เลื่อยจักรเลื่อยไม้ โรงงานเฟอร์นิเจอร์ โรงงานขัดผิวโลหะต่างๆ ฝุ่นที่มีความร้อนอาจจะเกิด
จากฝุ่นที่เป็นเตาหลอมโลหะ Boiler และอื่น ๆ
DUST COLLECTOR แยกเป็นแบบแห้งและเปียก ดังนี้
*แบบแห้ง อาจใช้เป็นถุงผ้า Bag Filter แบบ Cartridge และอื่น ๆ
*แบบเปียก ส่วนใหญ่จะใช้แบบ Spray น้ำเป็นตัวจับเขม่า ซึ่งอาจใส่ Media
เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจับฝุ่น แบบชนิดเปียกที่มี Media เราเรียกกันว่า Wet Scrubber
*ฝุ่นละอองที่เกิดจากการพ่นสี ก็ใช้ละอองน้ำเป็นตัวจับละอองสีเช่นกัน หรือจะใช้ Filter แบบ
ใยสังเคราะห์ก็จับฝุ่นสีได้ แต่เป็นการสิ้นเปลืองสูง
DUST COLLECTOR แบบแห้ง
*เช่นฝุ่นที่เกิดจากไม้โรงเลื่อย, โรงงานเฟอร์นิเจอร์,โรงงานขัดผิวโลหะต่าง ๆ ฝุ่นละอองที่เกิด
จากงานพลาสติก งานเหล่านี้จะใช้ Bag Filter เป็นตัวกรองฝุ่น ตัวเคาะฝุ่นที่ถุงให้ร่วงลง
ด้านล่าง มี 3 แบบ คือแบบ
1. Jet Pulse
2. Vibrator
3. Manual
DUST COLLECTOR แบบเปียก
*เช่นเตาหลอมโลหะห้องพ่นสี หรือ Boiler จะใช้แบบ Wet scrubber เป็นตัวจับฝุ่น
ระบบระบายอากาศแบบท่อลม
การใช้ท่อลมติดตั้งในระบบระบายอากาศ
ทางห้าง ฯ รับผลิตและติดตั้งระบบระบายอากาศ ทีใช้แบบ ท่อกลมธรรมดา ท่อกลม
Spilal และท่อเหลี่ยม, รวมทั้งท่อโค้ง, ท่อแยก, กลมเหลี่ยม, Damper และอื่น ๆ ทำด้วยสังกะสี
หรือ SUS ผิวเรียบ ซึ่งจะเน้นถึงความสะอาดและการไหลลื่นของลมเป็นหลักใหญ่

พัดลมทรงกระบอก (Axial Fan)
พัดลม Axial Fan 100 - 700 CMM หรือพัดลมใบพัดที่เราเห็นกันอยู่เป็นพัดลมที่ให้
Volume สูง แต่ Static pressure ต่ำ เสียงค่อนข้างดัง แต่ทางห้าง ฯ ได้ผลิต พัดลมให้มี
รอบต่ำใบพัดใหญ่ขึ้น เพื่อให้มี Volume เท่ากับพัดลมรอบสูง ทั้งนี้เพื่อต้องการลดเสียงดัง
และพัดลมยังออกแบบเป็นรูปทรงกระบอก ทำให้มีแรงส่งและแรงดูดดีขึ้น พัดลมชนิดนี้เหมาะ
สำหรับการระบายความร้อนภายในโรงงาน ที่ใช้ต้นทุนไม่สูงนัก
พัดลม Axial Fan ที่ทางห้างใช้ในการระบายอากาศมากที่สุด เป็นพัดลมขนาด 350 CMM
SP.= 15 mm.wg.ใบพัด 36" Motor 2 HP. 8 Pole (720 RPM) ความดัง 78 Db. ที่
1.50 เมตร มีแบบชนิด
1. ด้านหน้าปรับทิศทางลมได้ 4 ทิศทาง และ
2. ชนิดที่เป็นเกล็ดอลูมินัม เปิด-ปิด กันน้ำฝนได้เป็นพัดลมที่ให้Volume สูง
พัดลม Axial Fan ขนาดใบพัด 36 " เช่นเดียวกับแบบที่กล่าว แต่แบบนี้จะใส่ Air Filter
ขนาด 24" x24"x2" จำนวน 10 ชิ้น เพื่อใช้กับห้องที่ต้องการความสะอาดและกรองฝุ่นละออง
ที่จะเข้าไปภายในห้อง
การออกแบบและคำนวณ
- ออกแบบ คำนวณ และติดตั้งระบบระบายอากาศในโรงงาน อุตสาหกรรมโรงงานประกอบ
อาหาร โรงงานเครื่องดื่ม และโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง ทำให้ภายในห้องมีการถ่ายเท
อากาศและปรับแรงดันอากาศเป็นให้เป็นPOSITIVE คำนวณ AIR CHANGE ของแต่ละ
ห้องให้ได้ตามต้องการ
- ออกแบบและคำนวณการระบายอากาศภายในห้อง LAB ให้มีการระบายอากาศอย่างพอ
เพียง และอากาศเสียที่ดูดออกไปจะมีการบำบัดด้วยระบบ WET SCRUBBER หรือ
ACTIVATED CARBON
- ระบบ CLEAN ROOM ให้อากาศหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านการกรองกลิ่น , กรอง
ฝุ่นและกรองเชื้อ BACTERIA
- DUST CORRECTOR ดูดฝุ่นและกรองฝุ่นเป็นระบบ
- ระบบมลภาวะ, กำจัดฝุ่น,บำบัดกลิ่น (Order), ไอเสีย
จาก: http://www.freshenergysaving.com/article/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8-ventilation
ระบบระบายอากาศเพื่อให้มีอากาศสะอาดสดชื่นหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
ระบบระบายอากาศสำหรับห้องที่มีความร้อนสะสมสูง อาจใช้ทั้งพัดลมดูดความร้อนออกหรือทั้งเป่าทั้งดูด เพื่อให้การถ่ายเทได้รวดเร็ว ถ้าร่างกายได้รับความร้อนมากไป อาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย
ระบบระบายอากาศ คือ การถ่ายเทบริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่อากาศร้อนหรืออากาศเสียภายในห้องออกสู่ภายนอกห้อง ห้องที่ดีจะต้องมีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอกห้องและภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature การถ่ายเทอากาศอาจใช้พัดลม Blower หรือพัดลม Axial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น
เรามีวิธีแนะนำการทำระบบระบายอากาศที่ดี แก่ห้องต่างๆ เช่น
ห้องที่มีกลิ่นจะทำการดูดอากาศภายในห้องออก ด้านทางลมเข้าอาจจะมี Filter กรองฝุ่น ถ้าเป็นอากาศเสียมีกลิ่นรุนแรง ก็จะนำกลิ่นออกไปบำบัด
ห้องผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อบางชนิด ต้องการให้ห้องเป็น Negative ป้องกันการกระจายเชื้อโรค จึงมีการดูดอากาศภายในห้องออกไปทำการกรอง และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ก่อนที่จะปล่อยสู่บรรยากาศภายนอก อากาศที่จะเข้ามาแทนที่ภายในห้อง ก็เพียงแค่ใส่ Air Filter กรองฝุ่น
ห้องครัว โรงอาหาร ระดับโรงงาน ใช้พัดลมดูดออกจาก Hood เหนือเตา ทางด้านลมเข้าอาจเป็นมุ้งลวดกันแมลงหรือใส่ Air Filter เพื่อให้อากาศที่เข้ามาแทนที่มีความสะอาดด้วย
ระบบระบายอากาศ สำหรับห้องประกอบอาหารต่าง ๆ หรือห้องผลิตยารักษาโรค จะเน้นเรื่องฝุ่นและเชื้อแบคทีเรีย ที่อาจปนไปกับฝุ่น ซึ่งในระบบนี้เราจะต้องมีการกรองฝุ่นก่อนนำอากาศที่ดีไปใช้งาน ขั้นตอนของ Filter ที่ใช้กรองฝุ่นจะขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของห้องนั้นๆ
ระบบระบายอากาศ คือ การถ่ายเทบริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่อากาศร้อนหรืออากาศเสียภายในห้องออกสู่ภายนอกห้อง ห้องที่ดีจะต้องมีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอกห้องและภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature การถ่ายเทอากาศอาจใช้พัดลม Blower หรือพัดลม Axial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น
เรามีวิธีแนะนำการทำระบบระบายอากาศที่ดี แก่ห้องต่างๆ เช่น
ห้องที่มีกลิ่นจะทำการดูดอากาศภายในห้องออก ด้านทางลมเข้าอาจจะมี Filter กรองฝุ่น ถ้าเป็นอากาศเสียมีกลิ่นรุนแรง ก็จะนำกลิ่นออกไปบำบัด
ห้องผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อบางชนิด ต้องการให้ห้องเป็น Negative ป้องกันการกระจายเชื้อโรค จึงมีการดูดอากาศภายในห้องออกไปทำการกรอง และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ก่อนที่จะปล่อยสู่บรรยากาศภายนอก อากาศที่จะเข้ามาแทนที่ภายในห้อง ก็เพียงแค่ใส่ Air Filter กรองฝุ่น
ห้องครัว โรงอาหาร ระดับโรงงาน ใช้พัดลมดูดออกจาก Hood เหนือเตา ทางด้านลมเข้าอาจเป็นมุ้งลวดกันแมลงหรือใส่ Air Filter เพื่อให้อากาศที่เข้ามาแทนที่มีความสะอาดด้วย
ระบบระบายอากาศ สำหรับห้องประกอบอาหารต่าง ๆ หรือห้องผลิตยารักษาโรค จะเน้นเรื่องฝุ่นและเชื้อแบคทีเรีย ที่อาจปนไปกับฝุ่น ซึ่งในระบบนี้เราจะต้องมีการกรองฝุ่นก่อนนำอากาศที่ดีไปใช้งาน ขั้นตอนของ Filter ที่ใช้กรองฝุ่นจะขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของห้องนั้นๆ
การระบายอากาศ
ในการออกแบบอาคารบ้านเรือนในเขตร้อนชื้นนั้นถ้าไม่มีเทคโนโลยีมาช่วย เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ เช่นอาคารบ้านเรือนในสมัยก่อนนั้นผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงการระบายถ่ายเทอากาศตามวิธีธรรมชาติให้มากที่สุด โดยการออกแบบให้มีลมพัดผ่านเข้ามาในห้องตลอดเวลาเพื่อสร้างสภาวะน่าสบายเพิ่มความสบายให้แก่ร่างกายและทำให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์จากจากการหมุนเวียนอากาศภายในห้อง นอกจากนี้ลมก็จะช่วยลดความร้อนและความชื้นให้กับอาคารบ้านเรือนอีกด้วย โดยเฉพาะในประเทศในเขตร้อนชื้นส่วนใหญ่นั้นต้องการการหมุนเวียนของอากาศที่ดีตลอดทั้งปี แม้แต่ประเทศในเขตอบอุ่นเองก็ยังต้องการการหมุนเวียนของอากาศเพื่อการถ่ายเทอากาศภายในห้องออกไปให้อากาศใหม่เข้ามาแทนที่ การออกแบบช่องเปิดในตัวอาคารจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับที่ผู้พักอาศัยในตัวอาคาร
การออกแบบช่องเปิดของห้องนอกจากจะให้มีทางลมผ่านเข้ามาในห้องแล้วจะต้องจัดให้มีทางลมออกจากห้องด้วยเพื่อทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่เข้าสู่ตัวบ้าน การมีช่องเปิดในด้านที่รับลมอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้ลมผ่านเข้ามาในห้อง เพราะผนังที่ปิดตันในด้านตรงกันข้ามจะเป็นเสมือนฉากกันลม และเกิดความกดอากาศสูงภายในห้องทำให้ไม่ได้รับลมเท่าที่ควร ให้แฟน ๆ คนรักบ้านนึกถึงขวดที่มีน้ำเต็มอยู่เมื่อเติมน้ำเข้าไปอีกก็จะล้นออกมาครับเพื่อที่จะให้อากาศภายในห้องมีการไหลเวียนที่ดีจะต้องจัดทางลมออกให้มีขนาดเท่ากับทางลมเข้าซึ่งผ่านช่องเปิดที่กว้างเต็มที่ สำหรับการถ่ายเทอากาศที่คิดถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ของลมในที่ ๆ ต้องการกระแสลมแรงเพื่อช่วยให้เย็นขึ้นจะต้องมีทางลมออกที่ใหญ่และกว้างกว่าทางลมเข้าครับ ถึงแม้ว่าลมจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เราก็มีการออกแบบบ้านให้มีการใช้ประโยชน์จากกระแสลมให้มากที่สุดได้ครับ
การออกแบบช่องเปิดของห้องนอกจากจะให้มีทางลมผ่านเข้ามาในห้องแล้วจะต้องจัดให้มีทางลมออกจากห้องด้วยเพื่อทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่เข้าสู่ตัวบ้าน การมีช่องเปิดในด้านที่รับลมอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้ลมผ่านเข้ามาในห้อง เพราะผนังที่ปิดตันในด้านตรงกันข้ามจะเป็นเสมือนฉากกันลม และเกิดความกดอากาศสูงภายในห้องทำให้ไม่ได้รับลมเท่าที่ควร ให้แฟน ๆ คนรักบ้านนึกถึงขวดที่มีน้ำเต็มอยู่เมื่อเติมน้ำเข้าไปอีกก็จะล้นออกมาครับเพื่อที่จะให้อากาศภายในห้องมีการไหลเวียนที่ดีจะต้องจัดทางลมออกให้มีขนาดเท่ากับทางลมเข้าซึ่งผ่านช่องเปิดที่กว้างเต็มที่ สำหรับการถ่ายเทอากาศที่คิดถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ของลมในที่ ๆ ต้องการกระแสลมแรงเพื่อช่วยให้เย็นขึ้นจะต้องมีทางลมออกที่ใหญ่และกว้างกว่าทางลมเข้าครับ ถึงแม้ว่าลมจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เราก็มีการออกแบบบ้านให้มีการใช้ประโยชน์จากกระแสลมให้มากที่สุดได้ครับ
ระบบระบายอากาศ
คือ การถ่ายเทอากาศร้อนหรืออากาศเสียภายในห้อง ออกภายนอกห้องและให้มีอากาศที่
บริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่ อากาศจะต้องมีการถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอก
ห้องและภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature ซึ่งการถ่ายเทนี้จะคิดกันเป็น
ครั้ง / ชั่วโมง ซึ่งจะเรียกกันเป็น Air Change สมมติว่า 10 Air change ก็คืออากาศ
ภายในห้องทั้งหมด จะถ่ายเทออกภายนอกจำนวน 10 ครั้ง ภายใน 1 ชั่วโมง หรือใช้
เวลา 6 นาที ถ่ายเทได้หมดห้อง การถ่ายเทอากาศจะใช้พัดลม Blower หรือพัดลม
Axial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก
บริสุทธิ์กว่าเข้าไปแทนที่ อากาศจะต้องมีการถ่ายเทตลอดเวลา จนอุณหภูมิภายนอก
ห้องและภายในห้องใกล้เคียงกับ Ambient Temperature ซึ่งการถ่ายเทนี้จะคิดกันเป็น
ครั้ง / ชั่วโมง ซึ่งจะเรียกกันเป็น Air Change สมมติว่า 10 Air change ก็คืออากาศ
ภายในห้องทั้งหมด จะถ่ายเทออกภายนอกจำนวน 10 ครั้ง ภายใน 1 ชั่วโมง หรือใช้
เวลา 6 นาที ถ่ายเทได้หมดห้อง การถ่ายเทอากาศจะใช้พัดลม Blower หรือพัดลม
Axial Fan เป็นตัวช่วยระบายออก
หลักการออกแบบระบบบำบัดกลิ่นเบื้องต้น
หลักเกณฑ์ออกแบบระบบระบายอากาศในอุตสาหกรรมเบื้องต้น
การระบายอากาศจากอุตสาหกรรมเป็นการนำ
อากาศที่ปนเปื้อนออกจากพื้นที่ทำงานและนำอากาศที่สะอาดเข้ามาทดแทน
หากจะต้องเลือกใช้วิธีการระบายอากาศแล้วควรปรึกษาวิศวกรหรือบริษัทที่ปรึกษา
ที่มีประสบการณ์เรื่องการออกแบบและทดสอบประสิทธิภาพตลอดจนการบำรุงรักษาระบบ
ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบและทดสอบตลอดจนการบำรุงรักษาระบบควรได้รับการดูแลจากวิศวกรหรือ
บริษัทที่มีประสบการณ์และความรู้เป็นอย่างดี การออกแบบระบบระบายอากาศที่ดี
จะต้องมีลักษณะดังนี้
- สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ คือ ดูดมลพิษออกไปทางปล่อง โดยใช้ Hood หรือท่อ และทำให้คุณภาพอากาศภายในโรงงานมีความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน
- การดูดมลพิษต้องมีประสิทธิภาพ
คือใช้ดูดปริมาตรอากาศออกไปน้อยตรงจุดที่ได้ผลที่สุด เช่น
ในบริเวณที่ใกล้และครอบคลุมแหล่งกำเนิด
มีการสูญเสียพลังงานในระบบดูดอากาศน้อยที่สุด
เช่น ออกแบบท่อดูดในระบบ และปล่องต้องไม่มีข้องอมากหรือใช้ความเร็วลมที่สูงหรือต่ำเกินไป
การดึงอากาศเสียเฉพาะที่นั้นใช้หลักการว่าอากาศจะ เคลื่อนที่จากจุดที่มีความดันอากาศสูงไปยังที่มีความดันอากาศต่ำ ดังนั้นจึงต้องสร้างระบบที่มีความดันอากาศสูงและต่ำโดยใช้พัดลมที่ดูดอากาศ จึงทำให้บริเวณหน้าพัดลมมีความดันอากาศสูงกว่าหลังพัดลม และอากาศก็จะถูกดูดออกไปด้วยกำลังแรง (เหมือนเครื่องดูดฝุ่น)
ระบบดูดอากาศเสียประกอบด้วย
- ปากท่อหรือปาก “Hood” หรือบางครั้งเรียกตู้ดูดอากาศเสีย
- ท่อที่ใช้ส่งอากาศเสีย
- เครื่องหรืออุปกรณ์บำบัดมลพิษ
- พัดลมดูดอากาศ
- ท่อส่งออกหรือปล่องที่ระบายออกไปนอกอาคาร
Hood เป็นตัวอุปกรณ์ที่เก็บอากาศเสียจากแหล่งกำเนิดโดยติดตั้งหรือใกล้แหล่ง กำเนิดให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ โดยอาศัยหลักการให้ความเร็วของอากาศที่ปาก Hood จะต้องมากพอที่จะนำมลพิษ เช่น ฝุ่นหรือก๊าซออกไปได้โดยเราเรียกความเร็วที่จำเป็นนี้ว่า “ความเร็วในการพา” หรือ Capture Velocity ดังนั้นในการออกแบบจะต้องทำให้ปากของ Hood มีขนาดเล็กเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพราะขนาดที่ใหญ่จะสิ้นเปลืองพลังงานมาก
ความเร็วในการพามีหน่วยเป็น เมตร / วินาที และปริมาตรอากาศที่ไหลผ่านปาก Hood คิดเป็น ลูกบาศก์เมตร / วินาที โดยวิธีคำนวณปริมาตรที่ไหลผ่านปาก Hood ดังนี้

รูปที่ 16 ระบบดูดอากาศเสียแบบง่าย
Vair = uhood xAhood
เมื่อ u hood = ความเร็วในการพาวัดได้ที่ปาก Hood (Hood Face Velocity) โดยเครื่องวัดความเร็วลมเป็น เมตร/วินาที
Ahood = พื้นที่หน้าตัดของ Hood คือ L x H เป็น ตารางเมตร Vair ปริมาตรอากาศที่ไหลผ่านปาก Hood ลูกบาศก์เมตร / วินาที
ี
จะเห็นได้ว่าปริมาตรอากาศที่ไหลผ่าน Hood กับไหลผ่านในท่อ และพัดลมทางขวามือย่อมจะเท่ากัน ดังนั้นหากจะวัดความเร็วลมในท่อและคูณกับพื้นที่หน้าตัดท่อก็จะได้ผลเท่ากัน ทั้งนี้เพราะการตรวจวัดที่ปาก Hood นั้นมักจะยากกว่าการวัดที่ในท่อมาก จึงอาจตรวจวัดในท่อแล้วมาคำนวณหาความเร็วลมที่ปาก Hood แทนก็ได้ หากตรวจวัดความดันอากาศในท่อเทียบกับอากาศภายนอกจะพบว่า อากาศในท่อจะมีความดันน้อยกว่าอากาศภายนอก ทราบได้เพราะหากมีรูรั่วที่บริเวณท่อตรงก่อนถึงพัดลม อากาศภายนอกจะไหลดันเข้าไปในรูรั่วนั้นและอากาศข้างในท่อจะไม่ไหลออกมา ในทางตรงกันข้ามเมื่ออากาศผ่านพัดลมไปสู่ปล่องแล้วความดันอากาศในปล่องจะสูง กว่าอากาศภายนอก และหากมีรูรั่วก่อนถึงปลายปล่อง อากาศในปล่องจะดันออกมาตามรูรั่วนั้นได้ ดังนั้นจึงนิยมติดตั้งพัดลมไว้นอกอาคารเพื่อที่ อากาศเสีย ในระบบจาก Hood และท่อภายในอาคารจะได้ไม่รั่วไหล แม้ว่าจะมีอุบัติเหตุทำให้เกิดรูรั่วก็ตาม
ความดันของอากาศมีหน่วยเป็นปาสคาลหรือเซนติเมตรของน้ำหรือนิ้วของน้ำ (หากเป็นแบบในประเทศสหรัฐอเมริกา) แต่ในที่นี้จะใช้หน่วยเมตริกเสมอ ( ปาสคาล )
ถึงแม้ว่าในการออกแบบเราจะพยายามที่จะให้ Hood ครอบคลุมแหล่งกำเนิดมลพิษให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงก็อาจกีดขวาง การทำงานได้บางครั้งต้องทำให้ Hood “ยื่น” ออกไปดูดคล้ายๆ กับเครื่องดูดฝุ่นนั้นเอง แต่ Hood แบบนี้จะใช้พลังงานมากเพราะทุกระยะทางที่ห่างจากปาก Hood ( ระยะ “X”) ดังรูปจะใช้พลังงานเป็นกำลังสองของระยะทางที่เพิ่มขึ้นนี้ เช่น หาก “X” มีค่า 10 เซนติเมตร จะใช้พลังงานมากกว่าเมื่อ “X” มีค่า 5 เซนติเมตร ถึง 4 เท่าตัว ถ้าจะให้ความเร็วในการพาที่จุดนั้นเท่ากัน ในการออกแบบเราอาจประหยัดพลังงานได้หากมีการเติมที่กั้นทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้อากาศที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ไหลเข้ามาใน Hood มากนักและเพิ่มความเร็วให้กับอากาศที่ต้องการได้

รูปที่ 17 จุดที่จะดูดมลพิษอยู่ใกล้ ๆ ปากตู้ดูดอากาศมากที่สุด
ปกติตู้ดูดอากาศเสียจะมีลักษณะเป็นรูป
ทรงครอบแหล่งกำเนิด เป็นรูปปิรามิด หรือรูปกรวยคว่ำ
และการออกแบบต้องคำนวณให้ได้ปริมาณอากาศที่ดูดให้น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้
ในขณะที่ต้องมีประสิทธิภาพในการดูดมลพิษทางอากาศอย่างได้ผล ดังนั้น
จึงต้องทำให้ตู้ดูดอากาศเสียนี้สามารถเร่งความเร็วของอากาศที่จะไหลเข้าไป
ให้เพียงพอที่จะดึงมลพิษทางอากาศเข้าไปได้
ความเร็วนี้จะขึ้นกับขนาดของฝุ่นละอองและก๊าซ
หากฝุ่นละอองมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ความเร็วในการดึงสูงและมีการออกแบบให้ฝุ่น
ละอองเข้าไปในตู้ดูดอากาศเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
ตู้ดูดอากาศเสียที่ดีจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานในโรงงานมีความปลอดภัยและทำให้
เกิดความสะอาดด้วย
ประเภทของตู้ดูดอากาศเสียจะถูกแบ่งตามรูปร่างของตู้
ดูดอากาศเสียและลักษณะการดูดมลพิษทางอากาศของตู้ดูดอากาศเสียนั้น ๆ
โดยสามารถแบ่งได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้คือ - ตู้ดูดอากาศเสียแบบปิดได้ (Enclosed Hood):- ตู้ ดูดอากาศเสียประเภทนี้ จะง่ายต่อการก่อสร้าง ไม่ขัดขวางการทำงาน และสามารถควบคุมอัตราการไหลของอากาศเสียด้วยอัตราต่ำที่สุดได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุด ตู้ดูดอากาศเสียแบบปิดได้เหมาะสำหรับนำไปใช้กับห้องปฎิบัติการ ห้องสเปรย์สี เป็นต้น
- ตู้ดูดอากาศเสียแบบแขวน (Free-Hanging Plain Openings):- ตู้ ดูดอากาศเสียประเภทนี้ จะมีช่องเปิดเป็นรูปกลม หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีอัตราส่วนความกว้างต่อความยาวมากกว่า 0.3 ตู้ดูดอากาศเสียแบบแขวนเหมาะสำหรับแหล่งกำเนิดมลพิษแบบจุดหรือบริเวณพื้นที่ เล็ก ๆ และในบริเวณที่ไม่สามารถใช้ตู้ดูดอากาศเสียแบบปิดได้ เช่น การเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า การบัดกรี เป็นต้น
- ตู้ดูดอากาศเสียแบบแขวนและช่องเปิดแคบแบบ Slot (Free-Hanging Slot Openings):- ตู้ ดูดอากาศเสียประเภทนี้ เหมาะสำหรับแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่มีพื้นที่สำหรับดูดอากาศเสียใน ลักษณะแคบและยาว และ Slot จะมีอัตราส่วนความกว้างต่อความยาวเท่ากับหรือน้อยกว่า 0.3
- ตู้ดูดอากาศเสียแบบระบายอากาศเสียทางด้านข้าง (Lateral Ventilation):- การ ออกแบบตู้ดูดอากาศเสียประเภทนี้ ) จะใช้ Slot ตลอดหนึ่งด้านหรือสองด้านของถังหรือโต๊ะและอาจจะมีการใช้ด้านท้ายของตู้ดูด อากาศเสียตลอดด้านหนึ่งของถังหรือโต๊ะด้วยก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ Slot ควรวางในตำแหน่งแนวยาวของถังหรือโต๊ะ ตู้ดูดอากาศเสียประเภทนี้เหมาะสำหรับการทำงานที่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ ณ พื้นผิวลักษณะแบนราบหรือมีการปล่อยมลพิษทางอากาศทันทีทันใดเหนือพื้นผิว ลักษณะแบนราบ เช่น การชุบ Degreasing การจุ่มสี เป็นต้น
- ตู้ดูดอากาศเสียแบบดูดลงข้างล่าง (Downdraft):- ตู้
ดูดอากาศเสียประเภทนี้ มีตะแกรงอยู่ด้านบน ตู้ดูดอากาศเสียแบบดูดลงข้างล่าง
(Downdraft)
เหมาะสำหรับการทำงานที่มีอากาศไหลลงผ่านแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เช่น
การเชื่อม การบัดกรี การขัดละเอียด การพ่นสี เป็นต้น
ประสิทธิภาพของตู้ดูดอากาศนี้จะลดลงอันเนื่องมาจากอากาศไหลตัดขวางและอากาศ
ร้อนไหลขึ้นข้างบน
จึงมักจะใช้ตู้ประเภทนี้ก็ต่อเมื่อไม่สามารถใช้ตู้ดูดอากาศเสียประเภทอื่นได้ - ตู้ดูดอากาศเสียแบบแขวนคลุมไว้ด้านบน (Canopy):- ตู้ ดูดอากาศเสียประเภทนี้ มีลักษณะเหมือนฝาครอบแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศและมีท่อดูดอากาศต่อที่ข้างบน ของตู้ดูดอากาศเสีย การออกแบบเช่นนี้เหมาะสมกับงานที่ผลิตอากาศร้อน เช่น เตาหลอม เพราะอากาศร้อนจะไหลขึ้นข้างบนและนำมลพิษทางอากาศขึ้นไปด้วย การออกแบบจะต้องให้มีกระแสอากาศที่ไม่ปั่นป่วน จึงมักจะให้ตู้ดูดอากาศเสียนี้มีลักษณะที่แคบเข้าเรื่อยๆ จนถึงท่อดูดอากาศ ( มุมอยู่ระหว่าง 30°C ถึง 45°C)

รูปที่ 18 ตัวอย่างของการดูดอากาศเสียที่ระเหยจากถังโดยตู้ดูดอากาศเสียแบบแขวนคลุมไว้ด้านบน (Canopy)
1.1 ข้อมูลในการออกแบบตู้ดูดอากาศ การออกแบบจะต้องให้ความเร็วลมที่จุดตำแหน่งของมลพิษ เช่น บริเวณที่ไอระเหยขึ้นมาจากถังหรือบริเวณพ่นสี มีความเร็วเพียงพอที่จะพามลพิษนั้นๆ ( รวมทั้งอากาศที่มลพิษปนเปื้อนอยู่ ) ไหลเข้ามาในตู้ดูดอากาศได้ ความเร็วที่เพียงพอนั้นกำหนดไว้ดังนี้
ตารางที่ 8 ช่วงของค่า Capture Velocity
ลักษณะการแพร่กระจายของมลพิษทางอากาศ |
ตัวอย่าง
|
Capture Velocity
(เมตร/วินาที) |
การปล่อยมลพิษทางอากาศโดยปราศจากความเร็วเข้าไปในอากาศที่หยุดนิ่ง | การระเหยออกจากถัง จากกระบวนการ Degreasing เป็นต้น |
0.254-0.508
|
การปล่อยมลพิษทางอากาศด้วยความเร็วต่ำเข้าไปในอากาศที่นิ่งพอสมควร | ห้องสเปรย์ การเชื่อม และการชุบ |
0.508-1.016
|
การกำเนิดมลพิษทางอากาศโดยปล่อยให้เข้าไปในบริเวณที่มีการเคลื่อนตัวของอากาศอย่างรวดเร็ว | การพ่นสีในห้องสเปรย์ที่มีลักษณะตื้น การเติมน้ำมัน |
1.016-2.54
|
สูตรที่ใช้ในการคำนวณ คือ
สมการตามสูตรนี้ใช้ได้กับตู้ดูดอากาศที่ปากตู้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หากปากตู้เป็นรูปวงกลมใช้การคำนวณพื้นที่เปิดของปากตู้ (A) เท่ากับ pr2 เมื่อ r เป็นรัศมีของปากตู้เป็นเมตร และ Q = V (10x2 + A)Q = V (4 px2 ) = 12.57 Vx2เมื่อ Q = ปริมาณอากาศที่ตู้ดูดอากาศจะต้องดูด เป็นลูกบาศก์เมตร / วินาที
V = ความเร็วลมในการพามลพิษ ณ จุดที่มีมลพิษ เป็นเมตร / วินาที
x = ระยะทางจากตำแหน่งมีมลพิษถึงปากตู้ดูดอากาศ เป็นเมตร
4¶x2 = พื้นที่ทรงกลมของรัศมีการดูดที่ความเร็ว V
ในบางครั้งด้วยเหตุที่มีพื้นที่จำกัด
หรือเพื่อความเหมาะสมอย่างอื่นทำให้ต้องใช้ปากตู้ดูดอากาศที่มีลักษณะแคบมาก
ถ้าอัตราส่วนความกว้างต่อความยาว (W/L) ของปากตู้มีค่าน้อยกว่า 0.2
เรียกว่า Slot Hood ซึ่งจะให้ความเร็วลมสูง
แต่จะมีการสูญเสียพลังงานมากกว่าปกติเช่นกัน
1.2 การสูญเสียพลังงานของตู้ดูดอากาศ
ตู้ดูดอากาศจะสูญเสียพลังงานเนื่องจากขณะที่อากาศไหล
เข้าปากตู้จะมีการเปลี่ยนแปลงความดันสถิตย์เป็นความดันของความเร็ว ( จาก SP
เป็น VP) แต่เมื่อเข้าไปในท่อแล้ว VP จะลดลงสู่ระดับคงที่
การสูญเสียพลังงานยังเกิดจากการที่อากาศแย่งกันเข้าซึ่งมีการเร่งความเร็วใน
ช่วงแรกและเมื่ออากาศเข้าไปในท่อแล้วความเร็วจะลดลง และคำนวณได้ดังนี้ ความสูญเสีย SPh= he + VPd
SPh= (Fs ) (VPs ) + (Fd ) (VPd ) + VPd (4.6)
เมื่อ he = hs + hd หมายถึง การสูญเสียพลังงานเนื่องจาก Hood หน่วยเป็นปาสคาล
hs = (Fs) (VPs ) หมายถึง การสูญเสียเนื่องจาก Slot
h d = (Fd ) (VPd ) หมายถึง การสูญเสียเนื่องจากอากาศแย่งไหลเข้าท่อ
Fs = สัมประสิทธิ์การสูญเสียของ Slot ( ไม่มีหน่วย )
Fd = สัมประสิทธิ์การสูญเสียของการที่อากาศไหลเข้าท่อ ( ไม่มีหน่วย )
VPs = ความดันของความเร็วลมที่ Slot มีหน่วยเป็นปาสคาล
VPd = ความดันของความเร็วลมที่ท่อมีหน่วยเป็นปาสคาล
ตัวอย่างของการคำนวณการสูญเสียของตู้ดูดอากาศ
ตู้ดูดอากาศแบบธรรมดามีช่องเปิดขนาด 1 x 1.5 เมตร และความเร็วลมที่ปาก Hood เท่ากับ 1.25 เมตรต่อวินาที ท่อดูดอากาศที่ต่อจากตู้นี้มีความเร็วลมในท่อ 15 เมตร / วินาที จะคำนวณ
- อัตราการไหลของอากาศ (Q) ที่ผ่านตู้ดูดอากาศและท่อ
- คำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อดูดอากาศ
- คำนวณความดันลดซึ่งเกิดจากตู้ดูดอากาศนี้
ในส่วนที่ 2 : ใช้สูตรเหมือนการคำนวณในส่วนที่ 1 เพราะทราบอัตราการไหล (Q) และความเร็วลมในท่อ ซึ่งโจทย์ให้ค่าเป็น 15 เมตร / วินาที เพราะฉะนั้นพื้นที่หน้าตัดของท่อ = 1.875/15 = 0.125 ตารางเมตร
หาก D เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางท่อเป็นเมตร (pD2)/4 = 0.125
D =
= 0.4 เมตร

ในส่วนที่ 3 : ใช้สูตรข้างบนแต่ต้องทราบค่า Fd ของท่อซึ่งจะมีค่าประมาณ 0.25 โดยทั่วไป ต้องเปลี่ยนความดันของความเร็วในท่อเป็น VPd = (15/1.29)2 = 135.21 ปาสคาล และความดันของความเร็วลมที่ปาก Hood เป็น VPs = (1.25/1.29)2 = 0.94 ปาสคาล โดยใช้สูตร VP=( V /1.29)2
จะเห็นได้ว่า VPd มีค่าสูงกว่า VPs มาก ซึ่งในการออกแบบทั่วไปก็มักจะเป็นเช่นนี้ ยกเว้นกรณีที่ใช้ปาก Hood แคบจนเป็นลักษณะ Slot ซึ่งความเร็ว Slot จะมีค่าสูงกว่า 5 เมตร/วินาทีขึ้นไป จึงจะมีค่าใกล้เคียงกัน ในการคำนวณทั่วไปจึงพบว่ามักจะละเลยค่า (Fs) (VPs ) เพราะมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ VPd
\ SPh = (Fd) (VPd) + VPd = (0.25 x 135.21) + 135.21 = 169.01 ปาสคาล

ในรูปนี้จะเห็นว่า Slot จะทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานพอสมควรและจะละเลยมิได้ หากโจทย์กำหนดให้ความเร็วลมที่ผ่าน Slot มีค่า 10 เมตร/วินาที
VPs = (10/1.29)2 = 60 ปาสคาล
ค่า Fs ของ SLOT โดยทั่วไปจะมีค่าระหว่าง 1 ถึง 1.78 ซึ่งในการคำนวณจะใช้ค่าสูงสุดก็ได้
SPh = (Fs) (VPs) + (Fd) (VPd) + VPd
= (1.78) (60) + (0.25) (135.21) + 135.21 = 275.8 ปาสคาล
2. ท่อ
ท่อเป็นอุปกรณ์นำอากาศไปข้างนอกและควรมี
แรงต้านทานการไหลของอากาศได้น้อยที่สุดและมีความเร็วของอากาศในท่อที่เหมาะ
สมด้วย
หากความเร็วของอากาศในท่อน้อยเกินไปฝุ่นละอองก็ตกค้างในท่อและทำให้ปิดกั้น
อากาศได้
ส่วนอากาศที่ไหลเข้าไปมากก็สิ้นเปลืองพลังงานทำให้เกิดเสียงดังและความสั่น
สะเทือน และฝุ่นที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วอาจกัดกร่อนได้มากขึ้น
2.1 หลักการออกแบบระบบท่อ (Duct Design) เบื้องต้น
ท่อดูดอากาศ (Duct)
จากตู้ดูดอากาศไปสู่พัดลมและจากพัดลมไปภายนอกในรูปของปล่อง (Stack)
การออกแบบที่เหมาะสม คือ
ให้ความเร็วของอากาศในท่อทุกส่วนเร็วเท่ากันหมดเพื่อมิให้เกิดการตกตะกอนของ
ฝุ่นหรือสูญเสียพลังงานในการเร่งความเร็วของอากาศโดยไม่จำเป็น
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ
ให้มีการสูญเสียจากการไหลของอากาศในท่อให้น้อยที่สุด โดยไม่ใช้ข้องอ ท่อลด
ท่อขยาย หรือสิ่งกีดขวางการไหลโดยไม่จำเป็น
ปัจจุบันความนิยมในการออกแบบคือ
ใช้พัดลมตัวเดียวและท่อดูดอากาศจากหลายๆ จุดมารวมกันออกทางปล่องระบายรวม
(Common Stack) เพียงอันเดียว การออกแบบนี้ก็คือต้อง Balance ทุกๆ
ท่อสาขาให้เท่าเทียมกันคือในแต่ละสาขาจะต้องมีการสูญเสียพลังงานเท่าๆ กัน
หากท่อสาขาใดสูญเสียพลังงานมากกว่าสาขาอื่นๆ
ลมก็จะผ่านสาขานั้นด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าท่อสาขาอื่นๆ
หรืออาจไม่ผ่านเลยก็ได้
ค่าความเร็วต่ำที่สุดที่ใช้ในการออก
แบบท่อระบายอากาศเสียแล้วไม่ทำให้อนุภาคตกตะกอนและอุดตันท่อระบายอากาศเสีย
ได้แสดงไว้ข้างล่าง การออกแบบท่อระบายอากาศเสียโดยใช้ความเร็วลมสูงๆ
จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและทำให้ท่อระบายอากาศเสียสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว
ตารางที่ 9 ค่าความเร็วที่ใช้ในการออกแบบท่อระบายอากาศเสีย
ประเภทและขนาดของฝุ่นละออง
|
ค่าความเร็วต่ำสุด ( เมตร / วินาที )
|
ก๊าซหรือฝุ่นละอองขนาดละเอียดมากและเบา (ขนาดแป้งทาหน้า) |
12.7
|
ฝุ่นละอองขนาดละเอียด แห้ง และเป็นผง |
15.2
|
ฝุ่นละอองขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปจากอุตสาหกรรม |
17.8
|
ฝุ่นละอองขนาดหยาบ |
20.3-22.9
|
ฝุ่นละอองที่มีน้ำหนักมากหรือเปียกชื้น (เช่น ผงทราย) | ![]() |
2.2 ตัวอย่างการคำนวณความสูญเสียในระบบท่อ
ท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 มิลลิเมตร ทำด้วยเหล็กชุบสังกะสีความยาว 100 เมตร มีข้องอชนิดต่อ 7 ชิ้น และค่ารัศมีการโค้ง / เส้นผ่าศูนย์กลาง = R/D = 2.00 จำนวน 2 ข้องอ จะมีความสูญเสียในท่อเท่าใดหากความเร็วลมในท่อเท่ากับ 20 เมตร / วินาที
ท่อตรงยาว 100 เมตร จะสูญเสียด้วยสัมประสิทธิ์ 0.2376 x 100 = 23.76 (ค่า 0.2376 เป็นค่าที่สมมุติว่าจะได้จากผู้ผลิตหรือเอกสารอ้างอิงอื่นๆ ซึ่งขึ้นกับวัสดุที่ใช้ทำท่อ)
ความสูญเสียคิดเป็นปาสคาลต้องคูณสัมประสิทธิ์ด้วย VPd
VPd = (20/1.29)2 = 240.4 ปาสคาล
ความสูญเสีย = 23.76 x 240.4 = 5711.2 ปาสคาล
ความสูญเสียคิดเป็นปาสคาล ต้องคูณสัมประสิทธิ์ด้วย VPd
VPd = (20/ 1.29)2 = 240.4 ปาสคาล
ความสูญเสีย = 23.76 x 240.4 = 5711.2 ปาสคาล
ส่วนของข้องอดูจากเอกสารอ้างอิงหรือผู้ผลิตเช่นกัน พบว่าสัมประสิทธิ์การสูญเสียความดันของข้องอเท่ากับ 0.17
ความสูญเสียความดัน =0.17 x 240.4 = 40.8 ปาสคาล ต่อ 1 ข้องอ
รวมการสูญเสียความดันทั้งหมด =5711 + (40.8 x2 ) = 5,792.8 ปาสคาล
ในระบบระบายอากาศที่มีหลายสาขาให้คำนวณ
ความสูญเสียของแต่ละท่อสาขาก่อน
และทำให้ความสูญเสียเท่ากันหรือใกล้เคียงกันที่สุดก่อน
หากการสูญเสียไม่เท่ากันจะต้องเพิ่มความสูญเสียของท่อที่น้อยกว่า เช่น ใช้
Gate ปิดกั้นบางส่วนของท่อหรือใช้ท่อที่เล็กลง เป็นต้น
เมื่อคำนวณความสูญเสียได้ใกล้เคียงกัน
แล้วให้นำค่าความสูญเสียนั้น ( ของท่อสาขาเดียว )
มาคำนวณความสูญเสียที่จุดร่วม
นำไปคำนวณกำลังของพัดลมซึ่งพัดลมนอกจากจะต้องมีกำลังเพียงพอสำหรับเอาชนะ
ความสูญเสียจากท่อที่ผ่านมาทั้งหมดแล้ว
ยังต้องคำนวณสำหรับการดันอากาศออกไปทางปล่องด้วย
ซึ่งก็มีความสูญเสียบ้างเหมือนกัน
หากในระบบระบายอากาศมีอุปกรณ์บำบัดอากาศเสีย
ก็จะต้องบวกความสูญเสียจากอุปกรณ์เหล่านั้นเข้าไปด้วยตามที่ผู้ผลิตอุปกรณ์
จะระบุไว้ให้ 3. ระบบบำบัดมลพิษ
เช่น ระบบบำบัดกลิ่น (ดูรายละเอียดในแต่ละชนิด)
4. พัดลม
พัดลมต้องมีกำลังที่เหมาะสมในการสร้าง “ความดันอากาศ” ที่แตกต่างกันจนเพียงพอที่จะทำให้มลพิษถูกดึงเข้ามาและออกจากระบบได้
พัดลมมีประเภทหลักๆ อยู่ 2 ชนิด คือ
ชนิด Axial และ Centrifugal (หอยโข่ง) โดยแบบ Axial
จะมีลักษณะเหมือนใบพัดจะดึงอากาศผ่านเข้าไปโดยตรง ส่วน Centrifugal
จะเหมือนกงล้อซึ่งดูดอากาศเข้าไปในแกนกงล้อและปั่นอากาศออกทางมุมฉาก
พัดลมทั้งสองประเภทนี้มีการใช้งานตามความเหมาะสมที่แตกต่างกัน
พัดลมแบบ Axail
ใช้มากในการดึงอากาศบริสุทธิ์เข้ามาเจือจางโดยติดไว้ที่กำแพงหรือหลังคา
สามารถดึงอากาศได้เป็นจำนวนมากหากไม่มีแรงต้านมากนัก พัดลมแบบ Centrifugal จะทนต่อแรงต้านสูงๆ จึงสามารถดึงอากาศผ่านระบบ Hood และท่อได้ดี โดยคัดเลือกพัดลมที่เหมาะกับการทำงาน เช่น แบบใบพัดชนิด Radial Blade จะทนต่อฝุ่นปริมาณมากๆ และไม่ค่อยอุดตันเมื่อมีฝุ่น
5. ปล่องระบาย
ปล่องระบายต้องอยู่ห่างจากจุดที่อากาศบริสุทธิ์จะถูก ดึงเข้าไปในอาคาร เช่น อย่างน้อย 16-20 เมตร และหากอยู่บนหลังคาต้องสูงจากหลังคาอย่างน้อย 3-4 เมตร เพื่อป้องกันมิให้อากาศที่ระบายออกม้วนกลับลงทางชายคาอาคาร ความเร็วลมที่ออกจากปล่องอย่างน้อยควรเป็น 15 เมตรต่อวินาทีเป็นอย่างน้อย และหมวกที่ปิดปลายปล่องก็ไม่ควรมีเพราะจะไปปิดกั้นการพุ่งขึ้นของอากาศเสีย และประสิทธิภาพของหมวกในการกันน้ำฝนสามารถใช้การออกแบบอย่างอื่นได้แทน
ข้อควรระมัดระวังในการออกแบบและใช้งานระบบระบายอากาศ
- การออกแบบที่มักจะมีข้อผิดพลาดมากที่สุดคือการออกแบบตู้ดูด อากาศ โดยเฉพาะตู้แบบแขวน (Canopy) เพราะมีประสิทธิภาพต่ำ แต่เป็นที่นิยมกันมาก ส่วนปัญหาที่พบมากอีกข้อหนึ่งคือการต่อท่อดูดอากาศเพิ่มเข้าไปใบระบบ ทำให้ประสิทธิภาพของทั้งระบบลดลงจากที่ออกแบบไว้เดิม
- การป้องกันการระเบิดและไฟไหม้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการออกแบบ และใช้งานของท่อ ท่อซึ่งไม่เป็นโลหะอาจสะสมไฟฟ้าสถิตและควรมีสายดินต่อเชื่อมภายในของท่อ ท่อบางชนิดเช่น FRP ผู้ผลิตอาจผสมเส้นใยคาร์บอนไว้เพื่อให้ทำหน้าที่สายดิน นอกจากนั้นฝุ่นบางชนิด เช่นแป้ง อาจจะระเบิดได้เมื่อมีประกายไฟหรืออาร์คจากไฟฟ้าสถิตในท่อ ดังนั้นหากมีความเสี่ยงดังกล่าวก็อาจออกแบบประตูความดันฉุกเฉิน (Vent) เพื่อรองรับการระเบิดไว้ด้วย
- เมื่อติดตั้งระบบระบายอากาศเสร็จแล้วต้องทดสอบก่อนใช้งาน และปรับแต่งแก้ไขจุดเล็กๆน้อยๆให้เรียบร้อยก่อนใช้งานจริง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)